right_side

ผู้ติดตาม

tin's life

In:

ถูกหลอกไปทำน้ำปลา

สมัยที่ยังเป็นเด็กนานมาแล้ว สมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มีในหมู่บ้านเลยทุกบ้านก็จะใช้ตะเกียง การหุงหาอาหารก็ใช้ฟืนกัน รถราก็ไม่ค่อยจะมี ยิ่งในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ แทบจะไม่ค่อยได้เห็นเลย ที่เห็นกันชินตาก็เป็นเกวียน เพราะชาวไร่ชาวนาวิถีชีวิตไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกลๆบ่อยนัำำก ส่วนมากก็จะออกไปทำงานในเรือกสวนไร่นา การเิดินทางก็จะเป็นการเดินด้วยเท้า บรรยากาศของวิถีชีวิตในช่วงเช้าก็จะวุ่นวายแบบชาวนา เช่นการเตรียมข้าวของไปนา การเตรียมเอาวัวควายออกจากคอก คนไหนมีวัวควายเยอะก็วุ่นวายมากหน่อยเวลาเิดินไปเสียงไล่ของเจ้าของผสานเสียง กับเสียงเท้าของวัวควายดังกุบ กับ ๆ และอีกเสียงกระดิ่งบนคอของวัวควาย ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวชาวบ้านมักจะเผาไปใม้หรือเผ่ากิ่งไม้เผื่อสมาชิกในบ้านได้มาผิงเอาไออุ่นกลิ่นของการเผ่าใบไม้ข้าพรู้สึกว่ามันหอมดี ทำให้บรรยากาศช่วงเช้ามีเสียงสวรรค์แห่งชีวิตชาวทุ่งขับกล่อมให้ทุกชีวิตได้รู้ว่าเริ่มวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว ไอหมอกและควันไฟช่วยสร้างสีสันยามเช้าให้มีชีวิตชีวาได้ดีทีเทียว

ข้าพเจ้าเกริ่นนำถึงรูปแบบการเดินทางแบบวิถีชาวบ้านในสมัยที่เป็นเด็ก ซึ่งอย่างที่บอกการที่เห็นคนในหมู่บ้านมีรถยนต์แทบจะไม่มีเลย มอร์เตอร์ไซค์ก็ยังไม่มีเลย จะมีก็แค่จักรยาน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เดินทางไประหว่างหมู่บ้าน หรือนักเรียนระัดับมัธยมศึกษาที่ต้องไปเรียน ณ โรงเรียนประจำอำเภอที่ไกลออกไป ในหมู่บ้านของพวกเรานานๆทีจะมีรถยนต์ เข้ามาในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นรถขายน้ำปลา พวกเราเด็กๆเวลาเห็นรถน้ำปลามา ก็ตื่นเต้นกันใหญ่รวมพลกันวิ้งงง ตามรถขายน้ำปลา ในขณะที่วิ่งรถก็จะพ่นควันดำๆจากท่อไอเสีย พวกเราก็ไม่เคยกลัวยังวิ่งกันต่อ แถบสูดเอากลิ่นของควันนั้นเข้าไปด้วย ข้าพเจ้าเองรู้สึกว่ามันหอมนะ แต่ไม่รู้เพื่อนเด็กด้วยกันจะรู้สึกเหมือนข้าพเจ้าหรือเปล่า มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเห็นรถขายน้ำปลามา ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆก็พากันวิ่งตามอย่างที่เคยทำ แต่ครานี้ ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งให้เหนื่อยเหมือนเพื่อนๆคนอื่นเพราะคนที่อยู่บนท้ายรถเขาอุ้มข้าพเจ้าขึ้นรถ (สงสัยตอนนั้นคงหน้าตาน่ารัก) ทันทีที่ข้าพเจ้าได้ขึ้นรถข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นแปลกประหลาดใจต่อการยืนบนรถยนต์ครั้งแรก และไม่วายยิ้มส่งให้เพื่อน ในเชิงบอกเพื่อนๆว่าเราแน่กว่าไม่ต้องวิ่ง แต่พอรถวิ่งไปสักพัก คนที่อุ้มข้าพเจ้าขึ้นรถก็บอกว่าจะเอาข้าพเจ้าไปทำน้ำปลาเท่านั้นแหละ ความหวาดวิตกของข้าพเจ้าก็เกิดขึ้น ความกลัวการพลัดพรากจากพ่อแม่ก็ผุดขึ้นในสมองน้อยๆของข้าพเจ้า ในขณะทีี่เพื่อนๆที่วิ่งตามรถได้ทิ้งระยะห่างจากรถไปทุกทีๆ เพราะรถเริ่มเพิ่มความเร็ว เท่านั้นและข้าพเจ้าก็เริ่มร้องให้เสียงดังขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นก็ยังพูดย้ำคำเดิมคือ "จะเอาไปทำน้ำปลาๆๆ " ข้าพเจ้าก็ยิ่งร้อง แต่เขากลับหัวเราะอย่างสนุกสนานพอใจ จนรถผ่านไประยะหนึ่งเกือบจะออกจากหมู่บ้านแล้วเขาก็ทำสัญญาณให้รถหยุดแล้วค่อยๆยกตัวข้าพเจ้าให้ลงจากรถ พอลงจากรถได้ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเกือบเโดนอาไปทำน้ำปลาซะแล้ว ข้าพเจ้าก็ค่อยๆหยุดร้องให้ ปาดน้ำตาและวิ่งกลับบ้านทันที ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าไม่เคยเข้าร่วมวิ่งตามรถน้ำปลาอีกเลยกลัวเขาเอาไปทำน้ำปลา อิอิ ใส ซื่อ มัยละ

In:

ครัว ชะ ชะ ช่า (ดนตรีในครัว)

ถ้าให้พูดถึงช่วงเยาว์วัย หรือตอนเด็กๆๆ มีคำ 3 คำที่เป็นคีย์เวิร์ดให้เราย้อนนึกถึงอดีตตอนเด็กได้ดี คือ 1. ยากจน 2.สนุกสนาน 3.ความรุนแรง ความยากจน เมื่อใครได้ยิน ก็ไม่ปรารถนา ไม่อยากพบเจอ ไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิต แต่เราเลือกได้มัยที่จะเกิดมาไม่ยากจน ถ้าเลือกเกิดได้ไม่ขอเกิดเป็นคนยากจนอยู่แล้ว คงเหมือนกับทุกๆๆคน ที่ดินรนต่อสู้กันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะต้องการหลุดพ้นจากความยากจน เอาเป็นว่าเจ้าของบล๊อกนี้เกิดมาเป็นลูกชาวไร่ชาวนา ฐานะยากจน เมื่อเด็กที่พอจะจำความได้ยังไม่รู้นักหรอกว่ารสชาติความยากจนมันเป็นอย่างไร รู้เพียงอย่างเดียวคือความรู้สึกหิว แต่ความหิวตรงนี้ไม่ได้หิวเพราะมีสิ่งอื่นมากระตุ้นให้หิว มันเป็นความหิวตามปรากฏการณ์ทางร่างกาย ลูกชาวไร่ชาวนา บางครั้งก็มักจะกินข้าวไม่ค่อยตรงเวลา เนื่องจากบางครั้งพ่อแม่มีภาระมาก หรือยุ่งๆอยู่กับเรือกส่วนไร่นาจนลืมเวลาหุงหาอาหาร เรามักจะบอกแม่แบบกลัวกล้าๆว่า "แม่หิวข้าว" บางครั้งแม่อารมณ์ดี แต่ก็จะบอกเราด้วยน้ำเสียงนุ่มว่าให้รอสักครู่แม่ยังไม่ว่าง อะไรทำนองนี้ หรือบางครั้งถ้าพ่อแม่ครำ่่เครียดอยู่กับงานเราอาจจะถูกตวาดหนักเลยทีเดียว เวลานี้เราต้องระวังตัว เตรียมสปีดเท้าไว้ด้วยไม่งั้นอาจจะโดนลูกหลงได้ นอกจากพ่อแม่ทำงานจนเลยเวลาหุงหาอาหารแล้ว ยังมีปัญหาหนึ่งซึ่งกระตุ้นความหิวอาหารได้ดีทีเดียวคือ การทำเมนูอาหารบางเมนูซึ่งค่อนข้างใช้เวลานานมากๆๆ เช่นเเกงขึ้เหล็ก เพราะแกงขี้เหล็กนี้ต้องต้มหลายน้ำทีเดียวกว่าจะหายรสขม แล้วคุณแม่เองก็เป็นคนพิถีพิถันอย่างมากในการทำอาหารให้อร่อย ซึ่งเราตอนเด็กรวมทั้งน้องสาวและน้องชายมักจะไปรอลุ้นเวลาแม่ทำอาหารว่าเมื่อไรจะเสร็จ ประมาณว่ากดดันแม่ให้รีบทำให้เสร็จ หรือบางครั้งเวลาแม่ตำน้ำพริกหรือเครื่องแกง มันจะเป็นจังหวะพวกเราเด็กๆ ก็มักจะไปเต้นกันตามจังหวะของสากกระทบกับครกเป็นจังหวะช้าบ้างเร็วบ้าง แล้วพวกเราก็เต้นไม่รู้หรอกว่าเป็นเต้นอะไรท่าไหนแร๊บเริ่บหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้คือความสนุกตรงนั้นช่วยให้พวกเราลืมความหิวในขณะนั้นได้บ้าง การเต้นของพวกเรานี้จะถือได้ว่าสนุกอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะมาหาตัวไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าหากว่าในขณะที่แม่ทำอาหาร แม่อาจจะประสบอุบัติเหตุเล็กๆน้อย จน เกิดอารมณ์หงุดหงิด เช่นอาจจะโดยก้อนถ่านไฟร้อนกระเด็นใส่มือหรือเท้าของแม่ หรือไม่ก็อาจจะโดนน้ำพริกกระเด็นเข้าตา ครานั้นละบรรยากาศรำวงในครัวต้องหยุดหลงชั่วคราว วิเคราะห์สถานการณ์ก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีเสียงหวีดร้องของแม่ขึ้นมา ถึงตอนนั้นแหละทุกคนต้องเตรียมตัววิ่ง พร้อมที่จะโดนร่ม ลงจากบ้านตัวใครตัวมันนะงานนี้ ถ้าขืนช้าอาจจะโดนลูกหลงได้ แต่ถ้าถ้าแม่ไม่หวีดร้องพวกเราก็จะไปช่วยดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็จะเข้าไปช่วยแม่อีกทีหนึ่ง จึงถือได้ว่านอกเหนือจากวิทยุทรานซิสเตอร์ แล้ว ยังมีเสียงตำน้ำพริกนี่แหละเป็นดนตรีในชีวิตประจำวันของคนจน หลังจากความวุ่นวายต่างๆได้สงบลง ก็ถึงเวลากินข้าวรวมกัน แม่กับพี่สาวก็จะจัดสำรับกับข้าวใส่ถ้วยใส่ถาดอาหารส่วนมากแค่รายการเดียว นานๆทีจะมีสองรายการ แค่นี้พวกเราก็อิ่มกันแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยนี้ผู้ที่มีฐานะยากจนบางครั้งความหิวอาจจะเกิดจากการได้พบเจอสื่อล่อตาล่อใจให้อยากกินไม่ว่าจะทางโทรทัศน์ หรือไปพบเจอตามที่ต่างๆซึ่งมีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น ยิ่งสร้างความหิวให้เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ชีวิตคนจนในปัจจุบันข้าพเจ้าคิดว่าน่าสงสารกว่าคนยากจนในอดีตเยอะทีเดียว

In:

ยินดีต้อนรับสู่ tin's life blog

เขียนเว็บบล๊อกมาได้ระยะหนึ่งก็นึกอยากจะเขียนอะไรที่เป็นตัวตน แนวคิด หรือทัศนคติต่างๆของตนเองต่อสิ่งที่ได้พบ ฟัง ได้สัมผัส ผ่านมุมมองสมองกลวงๆๆ ลงในเว็บบล๊อกนี้ อาจจะมีทั้งเนื้อหาสาระ ทั้งไร้สาระ หรืออาจจะมีทั้งดูคิดโง่ๆๆ ในสายตาคนอื่น แต่มันคือความคิดเขาเรา เพราะคนเรานั้นศักยภาพความสามารถแม้มันจะพัฒนาได้แต่มันก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง การเขียนเรื่องราวในทัศนคติของตนเองอาจจะมีความขัดแย้งกับผู้อื่นอยู่บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือ การได้วิเคราะห์ สังเคราะห์สิ่งที่ได้ยินได้เห็น ได้สัมผัส ผ่านกระบวนการทางความคิดของเรา ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะการได้ฝึกคิด ทักษะการใช้ภาษา โดยเฉพาะทักษะในการเขียน ซึ่งบอกได้เลยว่าเจ้าของบล็อกนี้มีปัญหากับการเขียนเป็นอย่างมาก ที่บอกว่ามีปัญหากับการเขียนคือ มักทำข้อสอบที่เป็นข้อสอบแบบอัตนัยไม่ค่อยได้ดี เขียนได้แต่ละข้อไม่ค่อยจะเกินหนึ่งหน้ากระดาษเลย (กระดาษ A4 นะ) ในขณะที่คนอื่นเขาเขียนบางข้อได้เป็น 2-3 หน้า ก็ทึ่งเขาจังเลยเขาเขียนได้อย่างไร เขาช่างสร้างเรื่องสร้างราวอะไรได้เยอะขนาดนั้น นึกไปนึกมาก็นึกถึงพวกเขียนนวนิยาย เขาเขียนกันได้อย่างไรเป็น เล่มๆๆ แถมบางเรื่องมีหลายภาคด้วยนะ ดูอย่าง เเฮรี่ พอร์ตเตอร์ สิ หลายภาคเชียว อยากเขียนเก่งเหมือนเขาจังเลย เอาหละเราคงเทียบกับเขาไม่ได้เอาเป็นว่า ณ เวลานี้เราทำนวนิยายส่วนตัวลงเว็บบล๊อคของเราดีกว่า เผื่อเอาไว้เป็นที่ระลึกให้ลูกๆๆ(อุ้ย! ไม่มีลูก) หลานๆ ได้อ่านกัน หรืออาจจะนำไปทำพอกเก็ตบุคอีกทีในอนาคตข้างหน้าก็ได้ เพราะชีวิตทุกชีวิต ล้วนมีความสำคัญ ทุกชีวิตล้วนมีสีสรรในตัวของมัน ชีวิตทุกชีวิตจึงมีความน่าสนใจในตัวของมันเอง (เอ๋ หยาบไปหรือเปล่า)